วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นักร้องในจังหวัดสุพรรณบุรี

       เป็นที่ยอมรับกันว่า ชาวเมืองสุพรรณบุรีนั้น  มีเอกลักษ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว ในเรื่องของการออกเสียง ด้านการร้องเพลง ซึ่งจะร้องได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ และยังมีน้ำเสียงที่ใส กังวาล แบบไม่เป็นรองใคร 
       ไม่ว่าจะเป็นนักร้องรุ่นเก่าๆ ที่โด่งดังกันอย่างไม่ขาดสาย หรือแม้นกระทั่ง ในปัจจุบัน  ที่จังหวัด สุพรรณบุรี  ก็ยังคงมี นักร้องรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย แม้นจะมีบ้าง ที่เกิดแล้ว เงียบหายไป เพราะประสบปัญหาหลายด้าน แต่ส่วนใหญ่ ก็ล้วนแต่มีชื่อ ประดับวงการกัน ไม่มากก็น้อย
        ในเว็บนี้ ขออณุญาติ นำรูปภาพ ของศิลปิน นักร้อง ชาวเมืองสุพรรณ มาลงเผยแพร่ ไว้เป็นแหล่งข้อมูล  ให้กับคนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งอาจเป็นประโยนช์ในการค้นคว้า และหาประสพการณ์ อีกประการหนึ่งนั้น คือ อาจจะเป็นแรงจูงใจ เมื่อได้มองเห็นภาพ แล้วเกิดกำลังใจ ให้กับนักร้องรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังใฝ่ฝัน และ อยากจะก้าวเดินบนสายถนนดนตรี  เหมือนรุ่นพี่ๆ ซึ่งถือว่า แต่ละคน ล้วนเป็นตัวอย่างที่ดี และน่าภูมิใจอย่างยิ่ง..
         เพื่อเป็นการป้องกัน ด้านลิขสิขธ์ ภาพประกอบในเว็บนี้  จึงไม่สามารถลงคำอธิบาย หรืออ้างอิง ถึงประหวัติต่างๆ ของศิลปิน ท่านสามารถ ค้นหา ชื่อ ศิลปินที่ท่านชื่นชอบได้ ตามเว็บทั่วไป..


แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ก็เป็นคนสุพรรณบุรี

http://wwwtototo88.blogspot.com/


น้าแอ๊ด คาราบาว ก็คนสุพรรณเหมือนกันครับพี่น้อง

http://wwwtototo88.blogspot.com/
ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ 

http://wwwtototo88.blogspot.com/

http://wwwtototo88.blogspot.com/


http://wwwtototo88.blogspot.com/
http://wwwtototo88.blogspot.com/





วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาหารพื้นและขนมเมืองสุพรรณบุรี

กุ้งแม่น้ำหลายๆ คนคงคิดถึงกุ้งตัวโตจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ที่จังหวัด เมนูเรื่องกุ้งก็เป็นที่โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมนู กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ กลิ่นหอมๆ เนื้อสดหวานเต็มคำ มันกุ้งเต็มหัว เอามาคลุกข้าวร้อนๆ ทีเด็ดอยู่ที่น้ำมันด้วย เพราะมีมันกุ้งผัดอยู่ในน้ำมันอีกต่างหาก สำหรับใครไม่ได้กิน เหมือนมาไม่ถึง ส่วนเรื่องความสดหายห่วงเลย เพราะกุ้งบริเวณแม่น้ำท่าจีนนี้ตัวใหญ่ถึงใจทีเดียว
ส่วนปลาที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดสุพรรณบุรีอย่าง ปลาม้า ที่ถึงขั้นมีอำเภอชื่อ บางปลาม้า ปลาชนิดนี้สามารถส่งเสียงร้องได้เหมือนม้าจึงเป็นที่มาของชื่อ มีปริมาณชุกชุมมากที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นปลาที่มีรสชาติอร่อย เนื้อละเอียด หวานมันนุ่มปาก แถมประกอบอาหารได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ปลาม้าแดดเดียว ปลาม้าทอดกระเทียม ปลาม้าทอดสมุนไพรกรอบ ปลาม้านึ่งมะนาว และยังเป็นที่นิยมในการทำกระเพาะปลา เพราะมีกระเพาะขนาดใหญ่
 
ของฝากขึ้นชื่อหมายเลขหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรีคงหนีไม่พ้น ขนมสาลี่ ขนมไทยโบราณพื้นบ้านสีนวลตา รสนุ่มละมุนลิ้น หวานพอดี ตกแต่งด้วยลูกเกดคุณภาพดี ผลิตออกมาสดใหม่ทุกวัน จนแค่เปิดประตูเข้าร้านก็จะได้กลิ่นหอมหวนชวนชิมขนมสาลี่โชยเข้ามา จนยากที่จะหักใจไม่ให้ซื้อ
 

ประเพณีและศิลปวัฒนธรรม

งานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ 
       ณ บริเวณพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ มีการแสดง ยุทธหัตถีชนช้างเทิดพระเกียรติการออกร้านของอำเภอและหน่วยราชการ ต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงมหรสพ งานนี้จะจัดในช่วงปลายเดือนมกราคม
http://www.chilldeewa.com/news/donchedi-fair-59/

ประเพณีตักบาตรเทโว 
        หลังจากออกพรรษาแล้วในเดือนตุลาคม จะมีการนำอาหาร ขนม โดย เฉพาะอย่างยิ่งขนมต้มลูกโยนใส่บาตรถวายแด่พระสงฆ์ 
http://www.thaifest.org

งานเทศกาลสมโภชและนมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ 
        ตั้งอยู่ที่ริมถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ ที่วัดแห่งนี้ประชาชนนิยมมานมัสการ “หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิมีลักษณะประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาวางหงาย บนพระชานุอีกข้างหนึ่งในท่าทรงรับของถวาย องค์พระสูง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร มีนักปราชญ์หลายท่านว่า หลวงพ่อโตเดิมคงเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้งเหมือนพระพนัญเชิงในสมัยแรกๆ เพราะมักจะพบว่า พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สร้างในสมัยก่อนอยุธยาและอยุธยาตอนต้น ส่วนมากชอบสร้างไว้กลางแจ้งเพื่อให้สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลายจำนวน 36 องค์ หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ทุกปีจะมีงานเทศกาลสมโภชและนมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ 2 ครั้ง คือ ในวันขึ้น 7-9 ค่ำ เดือน 5 และเดือน 12




งานนมัสการพระพุทธไสยาสน์ (วัดเขาพระศรีสรรเพชญาราม)
         ตั้งอยู่ที่ถนนมาลัยแมน ในตัวอำเภออู่ทอง เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าตั้งแต่สมัยทวารวดี เพราะมีโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระพุทธไสยาสน์ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งสลักจากเนื้อหิน เทวรูปจักรนารายณ์เนื้อหิน บนยอดเขาพบซากเจดีย์อยุธยา 1 องค์ และยังมีรอยพระพุทธบาทจำลองแกะสลักด้วยหินเขียวธรรมชาติ ประดิษฐานไว้ในมณฑปบนยอดเขาอีกด้วย ทุกปีมีงานนมัสการพระพุทธไสยาสน์ 2 ครั้ง คือ วันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 12 กับวันขึ้น 14-15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 5 

http://www.edtguide.com/travel/77673/

ประเพณีกำฟ้า 
        เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของไทยพวน แบ่งเป็น 2 ช่วงคือวันขึ้น 3 และ 7 ค่ำ เดือนกุมภาพันธ์ วันกำฟ้าจะหยุดทำงานและเตรียมอาหารขนมหวาน คือ ข้าวหลาม นำไปถวายพระ เมื่อถึงกลางคืนจะมีงานเลี้ยงฉลอง ประเพณีนี้ ยังคงมีอยู่ในหมู่บ้านไทยพวน 
http://202.143.176.132/ict/dw57/6316/blue%20bundle.html


ประเพณีแต่งงานของไทยโซ่ง 
        พิธีแต่งงานดั้งเดิมของไทยโซ่ง ตำบลสวนแตง อำเภอเมือง ตำบลบ้านดอน ดอนมะเกลือ หนองแดง อำเภออู่ทอง หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายเจ้า สาวแล้ว เจ้าบ่าวจะจัดงานในวันขึ้น 1 ค่ำจนถึง 13 ต่ำของเดือนมีนาคม พฤษภาคม กรกฎาคม และ พฤศจิกายน 
https://joeyjeyo96.wordpress.com/ประเพณี/ประเพณีแต่งงานของไทยโซ/


ประเพณีบุญบั้งไฟ 
       จัดขึ้นในหมู่ไทยพวน ไทยเวียง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนพฤษภาคม เพื่อเป็นการบูชาเทวดาให้ฝนตกตามฤดูกาล มีการจัดเตรียมบั้งไฟแห่แหนไปวัดและยิงบั้งไฟที่วัด ปัจจุบันยังคงหาดูได้ในตำบลต่างๆ ในอำเภออู่ทอง และอำเภอบางปลาม้า 
https://www.youtube.com/watch?v=YTASOcigFNA


งานเทศกาลทิ้งกระจาด 
       กำหนดจัดงานหลังสารทจีนไป 3 วัน เริ่มวันที่ 18 เดือน 7 ของจีน ตรง กับเดือน 9 ของไทย ราวเดือนสิงหาคม-กันยายน สถานที่จัดงานอยู่ในเขต เทศบาล ตั้งแต่สมาคมตงฮั้วฮ่วยก้วง จนถึงด้านหลังเทศบาลเมืองฯ
http://thai.tourismthailand.org



TOP 5 Best Attractions Muang Suphan

อันดับที่ 5 วัดพระรูป

http://www.oknation.net/blog/phaen/page18

http://www.oknation.net/blog/phaen/page18
วัดพระรูปจัดเป็นอันดับที่ 5 ของอำเภอเมืองสุพรรณบุรีกันเลยทีเดียว!! เพราะเนื่องจาก  เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ตรงข้ามตลาดจังหวัดสุพรรณบุรี เขตอำเภอเมือง เป็นวัดเก่าวัดหนึ่งมีอายุอยู่ในสมัยอู่ทองตอนปลาย มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่พระพักตร์งดงามมาก วัดความยาวจากเศียรถึงพระบาทได้ 13 ม. สูง 3 ม. ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “เณรแก้ว” นอกจากนี้ในบริเวณวัด ยังมีซากปรักหักพังของพระพุทธรูปและเจดีย์สมัยทวาราวดีและสมัยอู่ทอง มาสุพรรณแล้วก็อย่าลืมมาแวะเที่ยวชมวัดที่สวยๆ กันนร้าคร้าปปป
   








อันดับที่ 4 อุทยานมัจฉา วัดพระลอย
http://www.suphan.biz/WatPranon.htm

http://www.suphan.biz/WatPranon.htm
อันดับที่ 4 ก้ตกเป็นของ อุทยานมัจฉา วัดพระลอย เข้าสู่วัดพระลอย จากซุ้มประตูวัดทันทีที่เลี้ยวรถเข้ามาเราจะสัมผัสได้ถึงความร่มรื่นของธรรมชาติอันมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นภายในวัด บรรยากาศรอบวัดพระลอย ก่อนที่จะเดินตรงไปยังวิหารพระลอย ผมลองเดินเลียบไปทางด้านซ้ายมือเพื่อชมบริเวณรอบๆ วัด จะเห็นมีทางเดินลึกเข้าไป 2 ข้างของทางเดินเห็นจะมีรูปปั้นตากับยายนั่งอยู่มีลักษณะดูจะแขนยาวกว่าปกติ บรรยากาศรอบวัดพระลอย ถัดจากศาลาริมน้ำ เดินมาทางซ้ายจะเห็นอุโบสถหลังเก่าซึ่งปัจจุบันได้มีการสร้างวิหารคลุมเอาไว้ภายในวิหารที่เราเห็นถ้าเดินเข้าไปจะพบกับอุโบสถที่เหลืออยู่เกือบสมบูรณ์ ต้นปี 2555 พระลอย พระพุทธรูปเก่าแก่เนื้อหินทรายปางนาคปรก มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่าพระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาที่ท่าน้ำของวัดพระลอย จึงได้ทำการอาราธนา อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ วัดพระลอยแห่งนี้ ประชาชนเดินทางมากราบไหว้สักการะพระลอยไม่ได้ขาด ด้วยความเชื่อว่าเป็นสิริมงคล ลอยเคราะห์ ลอยโศก และนี่ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยว1ที่สามารถเข้ามาไหว้พระ และ รับกับบรรญากาศอันร่มลืน ในวัดพระลอย
อันดับที่ 3 หอคอยบรรหาร – แจ่มใส (สวนเฉลิมภัทรราชินี) สุพรรณบุรี

http://www.suphan.biz/WatPranon.htm



http://www.suphan.biz/WatPranon.htm
         หอคอยบรรหารแจ่มใสจัดได้ว่าเป็นสถานที่รื่นรม ร่มลื่น ที่ไม่ควรพลาดอย่างแน่นอน และยังมี สวนแห่งความรักกลางใจเมืองสุพรรณ หอคอยสีขาวสะอาดตา ท่ามกลางสวนงามและดอกไม้สีสันสดใส ขับกล่อมด้วยเสียงเพลง และลีลาเริงระบำของน้ำพุแสนสวย ยิ่งในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า แปรเปลี่ยนให้สถานที่แห่งนี้เป็นดุจสวนสวรรค์.....
        โปรแกรมการเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองสุพรรณ จะจบลงด้วยความประทับใจ กับความงดงามยามค่ำคืน ด้วยแสงไฟและเสียงเพลง ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่จะทำให้ความรักของคุณ สวยงามมากมายกว่าทุกวัน.....







อันดับที่ 2 วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yingroay
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yingroay
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yingroay
















แล้วก็มีถึงอันดับที่ 2 กันแล้วกับ วัดป่าเลไลย์วรวิหาร ซึ่งถ้ามาเที่ยวที่สุพรรณแล้วไม่แวะมาไหว้หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์ถือว่ามาไม่ถึงนะค้าป ซึ่งหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่จังหวัดสุพรรณบุรีกันเลยทีเดียว!! ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุราว 1,200 ปี  เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตปางป่าเลไลยก์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณบุรี 

อันดับที่ 1 ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี (มังกรสวรรค์)  สุพรรณบุรี
http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/000487/lang/th/


http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/000487/lang/th/
และเราก็มาถึงอันดับสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด อันดับได้แก่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีและมังกรสวรรค์ ซึ่ง 2ที่นี้ แยกกัน แต่ สถานที่ไกล้กันจึงเหมารวมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครผ่านมาสุพรรณบุรีจะต้องเห็นมังกรสวรรค์ตัวเบอเลิ่ม อย่างแน่นอนกันเลยทีเดียวครับ ซึ่งศาลเจ้าพ่อหลักเมือง-มังกรสวรรค์ สถานที่เคารพของชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร ส่วนภายในตัวของมังกรสวรรค์นั้นก็จะมีลูกหลานพันธุ์มังกรต่างๆนาๆ เชื้อสายจีนเป็นต้น


http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=923324&page=491

จบกันไปแล้วกับ TOP 5 Best Attractions Muang Suphan มาเที่ยวกันเยอะๆ เศรษฐกิจจะได้คึกคัก ซึ่งจังหวัดสุพรรณบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่น่าเที่ยว อย่างเช่น ปางอุ้งสุพรรณ อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ สุพรรณบุรี สามชุกตลาดร้อยปี  สุพรรณบุรี อุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย (บ้านควาย)  สุพรรณบุรี เป็นต้น 


แหล่งท่องเที่ยว

httpwww.novabizz.comMap30.htm




คลิปวิดิโอแนะนำ


https://www.youtube.com/watch?v=gfYsyW-Y8Eg
หอคอยบรรหาร-แจ่มใส และสวนเฉลิมภัทรราชินี
        ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุพรรณบุรี บนถนนนางพิม ตำบลท่าพี่เลี้ยง หอคอยบรรหาร-แจ่มใส เป็นหอคอยแห่งแรกและสูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูงถึง 123 เมตร มีชั้นสำหรับชมวิวในระดับสูงสุด 78.75 เมตร และระดับต่ำลงมาคือ 72.75, 66.75 และ 33.75 เมตร ตามลำดับ บนหอคอยได้มีการติดตั้งกล้องส่องทางไกลไว้รอบด้าน มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารว่าง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ทั้งด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี ศิลปวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและเรื่องราวน่ารู้ของจังหวัดสุพรรณบุรีไว้ทั้งหมด อัตราค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
       และภายใน สวนเฉลิมภัทรราชินี ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่สมบูรณ์แบบ ในเนื้อที่ 15 ไร่ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของหอคอยบรรหาร-แจ่มใส แล้ว ยังมีตึกแสดงผลงานของ ฯพณฯ บรรหารสวนน้ำพร้อมสไลเดอร์ สวนลายไทย สวนนกพิราบ สวนดอกไม้ สนามเด็กเล่น บ่อน้ำพุ สนามออกกำลังกาย ฯลฯ
       หอคอยบรรหาร-แจ่มใส เปิดให้เข้าชุมทุกวัน เว้นวันจันทร์ อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
สวนเฉลิมภัทรราชินี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ ตามวันและเวลาดังนี้ วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 10.00--19.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 1.00-20.30 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท
http://www.holidaythai.com/kungone/photo-63840.htm

วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
       ตั้งอยู่ที่ริมถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่หน้าบันของวิหารวัดป่าเลไลยก์มีเครื่องหมายพระมหามกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ บอกให้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังทรงผนวชอยู่ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์ สันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างในสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีรุ่งเรือง ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้ากาแตทรงให้มอญน้อยมาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ภายหลัง พ.ศ. 1724 ที่วัดแห่งนี้ประชาชนนิยมมานมัสการ “หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิมีลักษณะประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาวางหงายบนพระชานุอีกข้างหนึ่งในท่าทรงรับของถวาย องค์พระสูง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร มีนักปราชญ์หลายท่านว่า หลวงพ่อโตเดิมคงเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้งเหมือนพระพนัญเชิงในสมัยแรกๆ เพราะมักจะพบว่า พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สร้างในสมัยก่อนอยุธยาและอยุธยาตอนต้น ส่วนมากชอบสร้างไว้กลางแจ้งเพื่อให้สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลายจำนวน 36 องค์ หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ทุกปีจะมีงานเทศกาลสมโภชและนมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ 2 ครั้ง คือ ในวันขึ้น 7-9 ค่ำ เดือน 5 และเดือน12

     ตรงข้ามวิหารวัดมีร้านขายสินค้าที่ระลึกพื้นเมืองหลายร้านให้แวะเลือกซื้อ ด้านหลังวัดมี “คุ้มขุนช้าง” ซึ่งสร้างเป็นเรือนไทยไม้สักหลังใหญ่กว้างขวาง ตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ขึ้นไปบนเรือนจะเห็นฉากภาพวาดตัวละครขุนช้างสำหรับให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นที่ระลึก บนเรือนแต่ละห้องมีภาพบรรยายเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน มีตู้จัดแสดงภาชนะเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆไม่ว่าจะเป็นฉากกั้นหรือถ้วยโถโอชามเก่าแก่แบบต่างๆ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yingroay

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yingroay










พิพิธภัณฑ์ชาวนาไทย
      ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ และทรงทำนาเกี่ยวข้าวในท้องที่จังหวัดสุพรรณบุรี รวม 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ ณ บ้านแหลมสะแก (บึงฉวาก) อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2528
     ครั้งที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในการทำนาสาธิตโดยใช้ปุ๋ยหมัก ณ ทุ่งนาบริเวณบึงไผ่แขก ตำบลดอนโพธิ์ทอง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2529 ในครั้งนั้น ทรงหว่านข้าวในแปลงนาสาธิตพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและข้าราชการ    ครั้งที่ 3 ทรงนำคณะรัฐมนตรีและข้าราชการลงเกี่ยวข้าวในแปลงนาสาธิต ณ บึงไผ่แขก ทรงทดลองใช้เครื่องนวดข้าวและพระราชทานพันธุ์ข้าวให้แก่พสกนิกร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2529    จากพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ยังความปลาบปลื้มปิติแก่พสกนิกรและเกษตรกรชาวไทย ในด้านการพัฒนาการทำนาและด้านการบำรุงขวัญ กำลังใจแก่ชาวนาอย่างใหญ่หลวง จังหวัดสุพรรณบุรีจึงมีดำริที่จะจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทยขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน โดยมีนายอารีย์ วงศ์อารยะ (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี) เป็นประธานในการจัดหาทุนทรัพย์เพื่อก่อสร้างอาคารและการจัดแสดง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย และกรมศิลปากรรับผิดชอบการออกแบบอาคารและการจัดแสดง    อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี พ.ศ. 2532 สมเด็จพระ
     การจัดแสดง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเฉพาะเรื่อง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ชั้นล่าง แบ่งออกเป็น 5 เรื่อง 1. 2. 3. 4. 5. ลมมรสุมกับฤดูกาลปลูกข้าว ร่องรอยของข้าวจากอดีต การทำนาในประเทศไทย


http://pic.th.gplace.com//

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
        อยู่ถนนสมภารคง แยกจากถนนมาลัยแมนไปประมาณ 300 เมตร เขตตำบลรั้วใหญ่ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี ในสมัยก่อนเป็นศูนย์กลางของเมืองสุพรรณภูมิ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง มีอายุไม่ต่ำกว่า 600 ปี ปรางค์องค์ประธานเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ถูกลักลอบขุดค้นหาทรัพย์สินจนทรุดโทรมไปมาก กรุในองค์พระปรางค์นี้เป็นต้นกำเนิดพระพิมพ์ผงสุพรรณบุรีที่โด่งดังมาก อันเป็นหนึ่งใน “เบญจภาคี” 5 พระเครื่องยอดนิยม อันได้แก่ พระสมเด็จนางพญาของสมเด็จพระพุทธาจารย์(โต) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร พระผงสุพรรณ จังหวัดสุพรรณ พระสมเด็จนางพญา จังหวัดพิษณุโลก พระทุ่งเศรษฐี จังหวัดกำแพงเพชรและพระรอด จังหวัดลำพูน นักโบราณคดีหลายท่านให้ความเห็นว่า ปรางค์องค์นี้น่าจะเป็นศิลปะการก่อสร้างสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ เพราะจากหลักฐานการก่อสร้างองค์ปรางค์เป็นการก่ออิฐไม่ถือปูน ซึ่งเป็นวิธีการเก่าแก่ก่อนสมัยอยุธยา
http://www.thai-tour.com/thai-tour/central/suphanburi/images/wat-mahathat/large-pic/viharn.jpg


อุทยานมัจฉา วัดพระลอย
         ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ตำบลรั้วใหญ่ เลยวัดแคไปไม่ไกล สาเหตุที่สร้างวัดนี้น่าจะมาจากที่มีพระพุทธรูปปางนาคปรกเนื้อหินทรายขาวลอยมาตามแม่น้ำท่าจีน(แม่น้ำสุพรรณ) จึงได้ทำพิธีอาราธนาขึ้นมาจากแม่น้ำ สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรี นอกจากนี้ยังมีโบสถ์ที่ปรักหักพังสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ทางวัดได้ปฏิสังขรณ์โดยสร้างโบสถ์ใหม่ครอบ และยังมีอุโบสถจตุรมุขใหญ่ สูงเด่น สง่างาม ประดิษฐานพระพุทธนวราชมงคล สวยงามมาก และมีพระพุทธรูปเนื้อหินทรายปางต่างๆ เก่าแก่มาก บริเวณท่าน้ำหน้าวัดเป็นที่สงวนพันธุ์สัตว์น้ำ มีฝูงปลาหลายชนิดผู้มาเที่ยวชมสามารถให้อาหารปลาได้ ถือเป็น อุทยานมัจฉา อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรี

http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi


http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi























             วัดแค

http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi
       เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อปรากฏในวรรณคดีเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" อยู่ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ไปทางเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุประมาณ 2 กม. ภายในวัดนี้มีต้นมะขามใหญ่วัดโคนต้นโดยรอบได้ประมาณ 10 เมตร เชื่อกันว่าขุนแผนได้เรียนวิชาเสกใบมะขามจากต้น มะขามต้นนี้ ให้เป็นตัวต่อตัวแตนจากท่านอาจารย์คงไว้โจมตีข้าศึก นอกจากนี้ทางจังหวัดได้สร้างเรือน ไทยทรงโบราณเรียกว่า "คุ้มขุนแผน" ไว้ใกล้กับต้นมะขามยักษ์นี้อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสวัดแคเมื่อ พ.ศ. 2447 วัดนี้มีโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระพุทธบาทสี่รอย ทำด้วยทองเหลืองกว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.80 เมตร สร้างซ้อนกันไว้ในรอยใหญ่ นอกจากนี้ก็มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบศิลปรัตนโกสินทร์ จีวรและอังสะเป็นดอกพิกุลงดงามมาก ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มีเช่น ระฆังทองเหลือง หม้อต้ม กรักทองเหลือง ตู้ใส่หนังสือที่พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถวายเมื่อปี 2412




                                          วัดหน่อพุทธางกูร
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi
ตั้งอยู่ที่ตำบลพิหารแดง ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ เลยวัดพระลอยไปทางเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 3507 กิโลเมตรที่ 3 เป็นวัดเงียบสงบสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภายในพระอุโบสถหลังเก่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติ ค่อนข้างสมบูรณ์ชัดเจน เป็นจิตรกรรมที่มีความงดงาม เขียนราว พ.ศ. 2391 ในสมัยรัชกาลที่ 3









วัดสนามไชย
        เป็นเก่าแก่คู่เมืองสุพรรณ ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณบุรี ( ท่าจีน ) เป็นวัดร้างไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด มีเพียงความในพงศาวดารเหนือระบุว่า พระเจ้ากาแตโปรดฯ ให้มอญน้อยออกไปสร้างวัดสนามไชยเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาเสวยราชย์ ณ เมืองพันธุมบุรี เมื่อ พ.ศ.1706 ความว่า
        “ ขณะนั้นพระเจ้ากาแตเป็นเชื้อมาแต่นเรศร์หงสาวดี ได้มาเสวยราชสมบัติ แล้วมาบูรณะวัดโปรดสัตว์วัดหนึ่ง วัดภูเขาทองวัดหนึ่ง วัดใหญ่วัดหนึ่ง สามวัดนี้แล้วจึงให้มอญน้อยเป็นเชื้อมาแต่พระองค์ออกไปสร้างวัดสนามชัย แล้วมาบูรณะวัดพระป่าเลไลยก์ในวัดลานมะขวิดแขวงเมืองพันธุมบุรี ข้าราชการบูรณะวัดแล้ว ก็ช่วยกันบวชสิ้นสองพันคน จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองสองพันบุรี แล้วพระองค์จึงยกนาเป็นส่วนสัดไว้ พระองค์อยู่ในราชสมบัติ 40 ปี จึงสวรรคต จุลศักราช 565 ขาลเบญจศก ”
น่าเชื่อว่าในสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีเจริญรุ่งเรืองวัดสนามไชยคงเป็นวัดที่สำคัญของเมืองวัดหนึ่ง จนเมื่อกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2310 เมืองสุพรรณบุรีถูกทิ้งร้างไป วัดสนามไชยก็คงถูกทิ้งร้างไปในคราวเดียวกัน
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2026
        ภายในบริเวณวัดมีฐานเจดีย์ทรงสิบหกเหลี่ยมขนาดใหญ่เป็นประธานของวัด ส่วนยอดหักพังหมดแล้ว เหลือเพียงฐานชั้นล่าง เชื่อกันว่าองค์เจดีย์นี้น่าจะเป็นต้นแบบของศิลปกรรมแบบอู่ทองหรือสุพรรณภูมิในช่วงแรกๆ อันเป็นต้นแบบของเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมในระยะต่อมา ภายในองค์เจดีย์กลวงเป็นห้องสี่เหลี่ยม เมื่อปี พ.ศ. 2504-2505 กรมศิลปากรทำการขุดแต่งองค์เจดีย์พบอัฐิธาตุป่นปนอยู่กับเถ้าถ่านเป็นจำนวนมาก บรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ด้านทิศตะวันออก เชื่อกันว่าเป็นอัฐิของทหารที่เสียชีวิตในการทำสงครามกับพม่าบนแผ่นดินเมืองสุพรรณบุรีครั้งกรุงศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตามสำนักงานศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี ได้ทำการขุดตรวจฐานเจดีย์และแนวกำแพงล้อมรอบเจดีย์อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2547-2548 ผลการขุดตรวจสันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานวัดสนามไชยนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ในบริเวณที่มีชุมชนอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นมาแต่เดิมตั้งแต่เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19 โดยมีระเบียงคตล้อมรอบเจดีย์ประธาน นอกระเบียงคตทางทิศตะวันตกเป็นอุโบสถ ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นวิหาร
การขึ้นทะเบียน
       กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดสนามชัย (ร้าง) เป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และประกาศระวางแนวเขตในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 98 ตอนที่ 177 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524 เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ 50.25 ตารางวา และประกาศเพิ่มเติมในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 106 ตอนที่ 140 วันที่ 29 สิงหาคม 2532 เนื้อที่ประมาณ 51 ไร่ 65 ตารางวา


วัดพระรูป
         เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ตรงข้ามตลาดจังหวัดสุพรรณบุรี เขตอำเภอเมือง   เป็นวัดเก่าวัดหนึ่งมีอายุอยู่ในสมัยอู่ทองตอนปลาย  มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่พระพักตร์งดงามมาก  วัดความยาวจากเศียรถึงพระบาทได้ 13 ม. สูง 3 ม. ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "เณรแก้ว"  นอกจากนี้ในบริเวณวัด ยังมีซากปรักหักพังของพระพุทธรูปและเจดีย์สมัยทวาราวดีและสมัยอู่ทอง  เช่น เจดีย์อู่ทอง และมีพระพุทธ  และพระพุทธบาทไม้ที่แกะสลักจากไม้ประดู่ยาว 221.5 ซม. กว้าง 74 ซม. ซึ่งมีค่ามากมีเพียงอันเดียวในประเทศไทย  หรือในโลกก็ว่าได้ ปัจจุบัน วัดพระรูปมีถนนตัดผ่านกลางวัดถึงสองสายคือถนนขุนช้างซึ่งแยกไป
         จากถนนมาลัยแมน ผ่านวัดประตูสาร ขนานไปกับลำน้ำสุพรรณ ผ่านวัดพระรูป กับถนน ซึ่งลงจากสะพานข้ามแม่น้ำสุพรรณ มาจากฝั่งตัวตลาดสุพรรณบุรี นอกจากนั้น วัด นี้ยังเป็นกรุพระเครื่องขุนแผน อันเลื่องชื่ออีกด้วย
         การเดินทาง   ไปตามถนนมาลัยแมน (ทางหลวงหมายเลข 321) พบสามแยกให้เลี้ยวเข้าสู่ถนนขุนช้างขับตรงไปประมาณ 1 กม.  วัดอยู่ตรงข้ามแยกถนนพลายชุมพล
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2027


วัดประตูสาร
        อยู่ที่ถนนขุนช้าง ตำบลรั้วใหญ่ ภายในเขตเทศบาลเมืองฯ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง และสถาปนาขึ้นเป็นวัด ไม่มีหลักฐานเก่าระบุไว้แต่คงจะสร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2379 ซึ่งเป็นปีที่สุนทรภู่มาสุพรรณบุรี ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ ฝีมือช่างหลวง เชื่อกันว่า เป็นคนเดียวกับที่ เขียนจิตรกรรมฝาผนังวัดหน่อพุทธางกูร เขียนราว พ.ศ. 2391 นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมที่เขียนบนพื้นไม้เป็นแผ่นๆ เรื่องราวพุทธประวัติและมหาชาติ ลักษณะ ของภาพเหมือนจะลอกแบบจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ เก็บรักษาอยู่ในวิหาร
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2028


วัดสุวรรณภูมิ
        เป็นวัดสมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล ถนนพระพันวษา ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอเมืองสุพรรณบุรี สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด  ได้แก่ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ)  สร้างเมื่อ  พ.ศ. 2514 อาคารมี 2 ชั้นเป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆ เช่น พระพุทธรูป นาฬิกา อาวุธ เชี่ยนหมาก ถ้วยชาม แจกัน แก้ว โดยเฉพาะบาตรสังคโลกสมัยสุโขทัยพุทธศตวรรษที่ 18–19 ซึ่งมีชิ้นเดียวในประเทศไทย
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2029
             
          วัดพระนอน
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2029
          ตั้งอยู่ตำบลพิหารแดง เลยวัดหน่อพุทธางกูรไปเล็กน้อย วัดพระนอนนี้อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ภายในวัดมี อุทยานมัจฉา อยู่บริเวณริมน้ำหน้าวัด มีปลานานาชนิดชุกชุม ทั้งปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาแรด ทางวัดประกาศเป็นเขตอภัยทาน ปลูกต้นไม้ ทั้งไม้ผลและไม้ประดับ บริเวณวัดจึงร่มรื่นสวยงาม และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ขึ้นหน้าขึ้นตาแห่งหนึ่งของจังหวัด และยังมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์สลักจากหิน มีลักษณะแปลกกว่าที่อื่น คือ เป็นพระพุทธรูปอยู่ในลักษณะนอนหงายขนาดเท่าคนโบราณยาวประมาณ 2 เมตร ลักษณะคล้ายกับพระนอนที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งใน Unseen Thailand อีกด้วย



ศาลหลักเมือง
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2033
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2033
           อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี (แม่น้ำท่าจีน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำไปตามถนนมาลัยแมน เดิมเป็นศาลไม้ทรงไทยมีเทวรูปพระอิศวรและพระนารายณ์สวมหมวกเติ๊ก(หมวกทรงกระบอก) สลักด้วยหินสีเขียว  ปัจจุบันได้สร้างศาลเป็นรูปวิหารและเก๋งจีน  เจ้าพ่อหลักเมืองนี้เป็นพุทธประติมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน แบบศิลปเขมรอายุราว พ.ศ.1185–1250 หรือประมาณ 1,300-1,400 ปีมาแล้ว มีพระนามว่า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือที่เรียกกันว่า พระนารายณ์สี่กร เป็นที่สักการะบูชาทั้งชาวไทยและชาวจีน ตามประวัติกล่าวว่า ประมาณ 150 ปีมาแล้วมีผู้พบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จมดินจมโคลนอยู่ริม
คลองศาลเจ้าพ่อ  จึงได้ช่วยกันอัญเชิญขึ้นข้างบนพร้อมกับสร้างศาลเป็นที่ประทับ  ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมืองและพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานสำหรับคนบูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลออกมาเป็นเก๋งแบบจีน  สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์กับเจ้าพระยายมราช ทรงสนพระทัยในการปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเมื่อในราว พ.ศ. 2480 ทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ของจีน  จะมีพิธีงานประเพณี  “ทิ้งกระจาด” (หรือ พิธีทิ้งทาน) จัดที่สมาคมจีน ซึ่งเป็นพิธีกรรมของพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ถือเป็นการจำเริญเมตตาแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยนำสิ่งของต่างๆ ที่ผู้ตายใช้สอยและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ มาแจกแก่ผู้ยากจน

กำแพงเมือง และ ประตูเมือง
         เมืองสุพรรณบุรีเก่าตั้งอยู่ในตำบลรั้วใหญ่ (บ้านขุน-ช้าง) ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ขณะนี้ยังเหลือ แนวกำแพงดินและคูเมืองให้เห็นชัดระหว่างทางไปวัดป่าเลไลยก์กับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองนี้ กำแพงทำแข็งแรงเป็นพิเศษสองชั้น มีคูน้ำกั้นอยู่ชั้นนอก มีเนินดินและกำแพงอยู่ชั้นในยาวถึง 3,500 เมตร ส่วนด้านกว้างกำแพงยาว 1,000 เมตร จดแม่น้ำ แต่ไม่พบตัวกำแพงด้านตะวันออก เพราะถูกรื้อเสียในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระราชดำริไว้ในพระราช-หัตถเลขา เรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่าว่า "เมืองสุพรรณบุรีมีกำแพงเป็นสองฟากเหมือนเมืองพิษณุโลกยื่นขึ้นไปจากฝั่งแม่น้ำราว 25 เส้น ดูกว้างประมาณ 6 วา นอกเชิงเทิน" ส่วนประตูเมืองตั้งอยู่ที่ถนนมาลัยแมน บนแนวกำแพงเมืองเก่า ประตูเมืองที่เห็นในปัจจุบัน สร้างขึ้นใหม่ตามแบบของกรมศิลปากร ตรงสถานที่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของประตูเมืองเดิม


อุทยานมังกรสวรรค์
         แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยตำนานการสร้างโลกยุคแรกเริ่มทาง ประวัติศาสตร์ ลำดับราชวงศ์ตั้งแต่ยุคหวงตี้ เหยียนตี้ ยุคเซี่ย ซาง อันถือเป็นยุคปฐมกษัติย์ ราชวงศ์โจว ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ฮั่น ยุคสามก๊ก ราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หมิง ถึงราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้าย สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง และประวัติความเป็นมาของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย
http://www.paiduaykan.com/76_province/central/suphanburi/museum.html

http://www.paiduaykan.com/76_province/central/suphanburi/museum.html



















                                        สามชุก
http://pic.th.gplace.com
          วัดสามชุก วัดนี้เดิมชื่อวัดอัมพวัน เป็นวัดเล็กๆ ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีมาแต่ครั้งใด สิ่งน่าสนใจ ของที่วัดสามชุดคือ รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานอยู่บนศาลาการเปรียญ เป็นรอยพระพุทธบาทสำริดสี่รอย ซ้อนกันเป็นลำดับจากขนาดใหญ่สุดจนถึงขนาดเล็กสุด มีการจำหลักเป็นตารางสี่เหลี่ยมและจำหลักลายมงคล 108 ลงในตารางแต่ละช่อง ที่กลางพระพุทธบาทจะเป็นรูปตราธรรมจักรรอยพระพุทธบาทนี้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่มีต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้มาแล้วด้วยกันถึงสี่พระองค์



ศูนย์หัตถกรรมภาคตะวันตก
         ตั้งอยู่ที่ตำบลดอนกำยาน ริมถนนมาลัยแมน ห่างจากตัวเมืองไปทางอำเภออู่ทอง ประมาณ 8 กม. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมในครอบครัว และหัตถกรรมในเขตพื้นที่ 14 จังหวัดภาคตะวันตก มีอาคารแสดงนิทรรศการผลงานผลิตภัณฑ์หัตถกรรมดีเด่น สวยงามประเภทต่าง ๆ รวมทั้งจัดจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปในราคาย่อมเยา


วัดพร้าว
         อยู่ที่ตำบลโพธิ์พระยา ติดกับประตูน้ำโพธิ์พระยา ห่างจากจังหวัดประมาณ 9 กม. ภายในวัดมีวิหารเลียนแบบสถาปัตยกรรมพม่า เป็นที่ประดิฐฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง นอกจากนั้น ยังมีหอไตรกลางน้ำ ตู้พระธรรม ในวัดยังมีดงยางเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวแม่ไก่ จำนวนนับพันตัว