 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi |
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi |
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อปรากฏในวรรณคดีเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" อยู่ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ไปทางเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุประมาณ 2 กม. ภายในวัดนี้มีต้นมะขามใหญ่วัดโคนต้นโดยรอบได้ประมาณ 10 เมตร เชื่อกันว่าขุนแผนได้เรียนวิชาเสกใบมะขามจากต้น มะขามต้นนี้ ให้เป็นตัวต่อตัวแตนจากท่านอาจารย์คงไว้โจมตีข้าศึก นอกจากนี้ทางจังหวัดได้สร้างเรือน ไทยทรงโบราณเรียกว่า "คุ้มขุนแผน" ไว้ใกล้กับต้นมะขามยักษ์นี้อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสวัดแคเมื่อ พ.ศ. 2447 วัดนี้มีโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระพุทธบาทสี่รอย ทำด้วยทองเหลืองกว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.80 เมตร สร้างซ้อนกันไว้ในรอยใหญ่ นอกจากนี้ก็มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบศิลปรัตนโกสินทร์ จีวรและอังสะเป็นดอกพิกุลงดงามมาก ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มีเช่น ระฆังทองเหลือง หม้อต้ม กรักทองเหลือง ตู้ใส่หนังสือที่พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถวายเมื่อปี 2412
วัดหน่อพุทธางกูร
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi |
ตั้งอยู่ที่ตำบลพิหารแดง ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ เลยวัดพระลอยไปทางเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 3507 กิโลเมตรที่ 3 เป็นวัดเงียบสงบสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภายในพระอุโบสถหลังเก่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติ ค่อนข้างสมบูรณ์ชัดเจน เป็นจิตรกรรมที่มีความงดงาม เขียนราว พ.ศ. 2391 ในสมัยรัชกาลที่ 3
วัดสนามไชย
เป็นเก่าแก่คู่เมืองสุพรรณ ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณบุรี ( ท่าจีน ) เป็นวัดร้างไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด มีเพียงความในพงศาวดารเหนือระบุว่า พระเจ้ากาแตโปรดฯ ให้มอญน้อยออกไปสร้างวัดสนามไชยเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาเสวยราชย์ ณ เมืองพันธุมบุรี เมื่อ พ.ศ.1706 ความว่า
“ ขณะนั้นพระเจ้ากาแตเป็นเชื้อมาแต่นเรศร์หงสาวดี ได้มาเสวยราชสมบัติ แล้วมาบูรณะวัดโปรดสัตว์วัดหนึ่ง วัดภูเขาทองวัดหนึ่ง วัดใหญ่วัดหนึ่ง สามวัดนี้แล้วจึงให้มอญน้อยเป็นเชื้อมาแต่พระองค์ออกไปสร้างวัดสนามชัย แล้วมาบูรณะวัดพระป่าเลไลยก์ในวัดลานมะขวิดแขวงเมืองพันธุมบุรี ข้าราชการบูรณะวัดแล้ว ก็ช่วยกันบวชสิ้นสองพันคน จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองสองพันบุรี แล้วพระองค์จึงยกนาเป็นส่วนสัดไว้ พระองค์อยู่ในราชสมบัติ 40 ปี จึงสวรรคต จุลศักราช 565 ขาลเบญจศก ”
น่าเชื่อว่าในสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีเจริญรุ่งเรืองวัดสนามไชยคงเป็นวัดที่สำคัญของเมืองวัดหนึ่ง จนเมื่อกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2310 เมืองสุพรรณบุรีถูกทิ้งร้างไป วัดสนามไชยก็คงถูกทิ้งร้างไปในคราวเดียวกัน
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2026 |
ภายในบริเวณวัดมีฐานเจดีย์ทรงสิบหกเหลี่ยมขนาดใหญ่เป็นประธานของวัด ส่วนยอดหักพังหมดแล้ว เหลือเพียงฐานชั้นล่าง เชื่อกันว่าองค์เจดีย์นี้น่าจะเป็นต้นแบบของศิลปกรรมแบบอู่ทองหรือสุพรรณภูมิในช่วงแรกๆ อันเป็นต้นแบบของเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมในระยะต่อมา ภายในองค์เจดีย์กลวงเป็นห้องสี่เหลี่ยม เมื่อปี พ.ศ. 2504-2505 กรมศิลปากรทำการขุดแต่งองค์เจดีย์พบอัฐิธาตุป่นปนอยู่กับเถ้าถ่านเป็นจำนวนมาก บรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ด้านทิศตะวันออก เชื่อกันว่าเป็นอัฐิของทหารที่เสียชีวิตในการทำสงครามกับพม่าบนแผ่นดินเมืองสุพรรณบุรีครั้งกรุงศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตามสำนักงานศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี ได้ทำการขุดตรวจฐานเจดีย์และแนวกำแพงล้อมรอบเจดีย์อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2547-2548 ผลการขุดตรวจสันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานวัดสนามไชยนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ในบริเวณที่มีชุมชนอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นมาแต่เดิมตั้งแต่เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19 โดยมีระเบียงคตล้อมรอบเจดีย์ประธาน นอกระเบียงคตทางทิศตะวันตกเป็นอุโบสถ ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นวิหาร
การขึ้นทะเบียน
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดสนามชัย (ร้าง) เป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และประกาศระวางแนวเขตในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 98 ตอนที่ 177 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524 เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ 50.25 ตารางวา และประกาศเพิ่มเติมในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 106 ตอนที่ 140 วันที่ 29 สิงหาคม 2532 เนื้อที่ประมาณ 51 ไร่ 65 ตารางวา
วัดพระรูป
เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ตรงข้ามตลาดจังหวัดสุพรรณบุรี เขตอำเภอเมือง เป็นวัดเก่าวัดหนึ่งมีอายุอยู่ในสมัยอู่ทองตอนปลาย มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่พระพักตร์งดงามมาก วัดความยาวจากเศียรถึงพระบาทได้ 13 ม. สูง 3 ม. ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "เณรแก้ว" นอกจากนี้ในบริเวณวัด ยังมีซากปรักหักพังของพระพุทธรูปและเจดีย์สมัยทวาราวดีและสมัยอู่ทอง เช่น เจดีย์อู่ทอง และมีพระพุทธ และพระพุทธบาทไม้ที่แกะสลักจากไม้ประดู่ยาว 221.5 ซม. กว้าง 74 ซม. ซึ่งมีค่ามากมีเพียงอันเดียวในประเทศไทย หรือในโลกก็ว่าได้ ปัจจุบัน วัดพระรูปมีถนนตัดผ่านกลางวัดถึงสองสายคือถนนขุนช้างซึ่งแยกไป
จากถนนมาลัยแมน ผ่านวัดประตูสาร ขนานไปกับลำน้ำสุพรรณ ผ่านวัดพระรูป กับถนน ซึ่งลงจากสะพานข้ามแม่น้ำสุพรรณ มาจากฝั่งตัวตลาดสุพรรณบุรี นอกจากนั้น วัด นี้ยังเป็นกรุพระเครื่องขุนแผน อันเลื่องชื่ออีกด้วย
การเดินทาง ไปตามถนนมาลัยแมน (ทางหลวงหมายเลข 321) พบสามแยกให้เลี้ยวเข้าสู่ถนนขุนช้างขับตรงไปประมาณ 1 กม. วัดอยู่ตรงข้ามแยกถนนพลายชุมพล
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2027 |
วัดประตูสาร
อยู่ที่ถนนขุนช้าง ตำบลรั้วใหญ่ ภายในเขตเทศบาลเมืองฯ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง และสถาปนาขึ้นเป็นวัด ไม่มีหลักฐานเก่าระบุไว้แต่คงจะสร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2379 ซึ่งเป็นปีที่สุนทรภู่มาสุพรรณบุรี ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ ฝีมือช่างหลวง เชื่อกันว่า เป็นคนเดียวกับที่ เขียนจิตรกรรมฝาผนังวัดหน่อพุทธางกูร เขียนราว พ.ศ. 2391 นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมที่เขียนบนพื้นไม้เป็นแผ่นๆ เรื่องราวพุทธประวัติและมหาชาติ ลักษณะ ของภาพเหมือนจะลอกแบบจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ เก็บรักษาอยู่ในวิหาร
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2028 |
วัดสุวรรณภูมิ
เป็นวัดสมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล ถนนพระพันวษา ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอเมืองสุพรรณบุรี สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2514 อาคารมี 2 ชั้นเป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆ เช่น พระพุทธรูป นาฬิกา อาวุธ เชี่ยนหมาก ถ้วยชาม แจกัน แก้ว โดยเฉพาะบาตรสังคโลกสมัยสุโขทัยพุทธศตวรรษที่ 18–19 ซึ่งมีชิ้นเดียวในประเทศไทย
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2029 |
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2029 |
ตั้งอยู่ตำบลพิหารแดง เลยวัดหน่อพุทธางกูรไปเล็กน้อย วัดพระนอนนี้อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ภายในวัดมี อุทยานมัจฉา อยู่บริเวณริมน้ำหน้าวัด มีปลานานาชนิดชุกชุม ทั้งปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลาแรด ทางวัดประกาศเป็นเขตอภัยทาน ปลูกต้นไม้ ทั้งไม้ผลและไม้ประดับ บริเวณวัดจึงร่มรื่นสวยงาม และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ขึ้นหน้าขึ้นตาแห่งหนึ่งของจังหวัด และยังมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์สลักจากหิน มีลักษณะแปลกกว่าที่อื่น คือ เป็นพระพุทธรูปอยู่ในลักษณะนอนหงายขนาดเท่าคนโบราณยาวประมาณ 2 เมตร ลักษณะคล้ายกับพระนอนที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งใน Unseen Thailand อีกด้วย
ศาลหลักเมือง
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2033 |
 |
http://place.thai-tour.com/suphanburi/mueangsuphanburi/2033 |
อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี (แม่น้ำท่าจีน) ห่างจากฝั่งแม่น้ำไปตามถนนมาลัยแมน เดิมเป็นศาลไม้ทรงไทยมีเทวรูปพระอิศวรและพระนารายณ์สวมหมวกเติ๊ก(หมวกทรงกระบอก) สลักด้วยหินสีเขียว ปัจจุบันได้สร้างศาลเป็นรูปวิหารและเก๋งจีน เจ้าพ่อหลักเมืองนี้เป็นพุทธประติมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน แบบศิลปเขมรอายุราว พ.ศ.1185–1250 หรือประมาณ 1,300-1,400 ปีมาแล้ว มีพระนามว่า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือที่เรียกกันว่า พระนารายณ์สี่กร เป็นที่สักการะบูชาทั้งชาวไทยและชาวจีน ตามประวัติกล่าวว่า ประมาณ 150 ปีมาแล้วมีผู้พบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จมดินจมโคลนอยู่ริม
คลองศาลเจ้าพ่อ จึงได้ช่วยกันอัญเชิญขึ้นข้างบนพร้อมกับสร้างศาลเป็นที่ประทับ ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมืองและพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานสำหรับคนบูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลออกมาเป็นเก๋งแบบจีน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์กับเจ้าพระยายมราช ทรงสนพระทัยในการปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเมื่อในราว พ.ศ. 2480 ทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ของจีน จะมีพิธีงานประเพณี “ทิ้งกระจาด” (หรือ พิธีทิ้งทาน) จัดที่สมาคมจีน ซึ่งเป็นพิธีกรรมของพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ถือเป็นการจำเริญเมตตาแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยนำสิ่งของต่างๆ ที่ผู้ตายใช้สอยและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ มาแจกแก่ผู้ยากจน
กำแพงเมือง และ ประตูเมือง
เมืองสุพรรณบุรีเก่าตั้งอยู่ในตำบลรั้วใหญ่ (บ้านขุน-ช้าง) ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ขณะนี้ยังเหลือ แนวกำแพงดินและคูเมืองให้เห็นชัดระหว่างทางไปวัดป่าเลไลยก์กับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองนี้ กำแพงทำแข็งแรงเป็นพิเศษสองชั้น มีคูน้ำกั้นอยู่ชั้นนอก มีเนินดินและกำแพงอยู่ชั้นในยาวถึง 3,500 เมตร ส่วนด้านกว้างกำแพงยาว 1,000 เมตร จดแม่น้ำ แต่ไม่พบตัวกำแพงด้านตะวันออก เพราะถูกรื้อเสียในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระราชดำริไว้ในพระราช-หัตถเลขา เรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่าว่า "เมืองสุพรรณบุรีมีกำแพงเป็นสองฟากเหมือนเมืองพิษณุโลกยื่นขึ้นไปจากฝั่งแม่น้ำราว 25 เส้น ดูกว้างประมาณ 6 วา นอกเชิงเทิน" ส่วนประตูเมืองตั้งอยู่ที่ถนนมาลัยแมน บนแนวกำแพงเมืองเก่า ประตูเมืองที่เห็นในปัจจุบัน สร้างขึ้นใหม่ตามแบบของกรมศิลปากร ตรงสถานที่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของประตูเมืองเดิม
อุทยานมังกรสวรรค์
แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยตำนานการสร้างโลกยุคแรกเริ่มทาง ประวัติศาสตร์ ลำดับราชวงศ์ตั้งแต่ยุคหวงตี้ เหยียนตี้ ยุคเซี่ย ซาง อันถือเป็นยุคปฐมกษัติย์ ราชวงศ์โจว ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ฮั่น ยุคสามก๊ก ราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หมิง ถึงราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้าย สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง และประวัติความเป็นมาของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย
 |
http://www.paiduaykan.com/76_province/central/suphanburi/museum.html |
 |
http://www.paiduaykan.com/76_province/central/suphanburi/museum.html |
 |
http://pic.th.gplace.com |
วัดสามชุก วัดนี้เดิมชื่อวัดอัมพวัน เป็นวัดเล็กๆ ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีมาแต่ครั้งใด สิ่งน่าสนใจ ของที่วัดสามชุดคือ รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานอยู่บนศาลาการเปรียญ เป็นรอยพระพุทธบาทสำริดสี่รอย ซ้อนกันเป็นลำดับจากขนาดใหญ่สุดจนถึงขนาดเล็กสุด มีการจำหลักเป็นตารางสี่เหลี่ยมและจำหลักลายมงคล 108 ลงในตารางแต่ละช่อง ที่กลางพระพุทธบาทจะเป็นรูปตราธรรมจักรรอยพระพุทธบาทนี้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่มีต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้มาแล้วด้วยกันถึงสี่พระองค์
ศูนย์หัตถกรรมภาคตะวันตก
ตั้งอยู่ที่ตำบลดอนกำยาน ริมถนนมาลัยแมน ห่างจากตัวเมืองไปทางอำเภออู่ทอง ประมาณ 8 กม. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมในครอบครัว และหัตถกรรมในเขตพื้นที่ 14 จังหวัดภาคตะวันตก มีอาคารแสดงนิทรรศการผลงานผลิตภัณฑ์หัตถกรรมดีเด่น สวยงามประเภทต่าง ๆ รวมทั้งจัดจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปในราคาย่อมเยา
วัดพร้าว
อยู่ที่ตำบลโพธิ์พระยา ติดกับประตูน้ำโพธิ์พระยา ห่างจากจังหวัดประมาณ 9 กม. ภายในวัดมีวิหารเลียนแบบสถาปัตยกรรมพม่า เป็นที่ประดิฐฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง นอกจากนั้น ยังมีหอไตรกลางน้ำ ตู้พระธรรม ในวัดยังมีดงยางเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวแม่ไก่ จำนวนนับพันตัว